คลิบขำๆ

ประวัติแมวไทย

                        แมวไทย คือ   แมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย คุณสมบัติที่ทำให้แมวไทยเหนือกว่าแมวชนิดอื่น คือ อุปนิสัย แมวไทยมีความฉลาด มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด รู้จักประจบ รักบ้าน รักเจ้าของ และเหนืออื่นใด คือ รักความอิสระของตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ อิสระที่ จะกิน จะดื่ม หรือจะไปไหนตามที่ใจชอบ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลิกประจำตัวที่ทำให้แตกต่างจากแมวพันธุ์อื่น สีสันตามตัวของแมวไทย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักรักแมวรู้สึกสุขใจยามได้มอง ไม่ว่าจะเป็น วิเชียรมาศ เก้าแต้ม ขาวมณีหรือขาวปลอด นิลรัตน์หรือดำปลอด ศุภลักษณ์หรือ ทองแดง สีสวาดหรือแมวไทยพันธุ์โคราช ต่างล้วนได้รับความสนใจ จากเจ้าของและผู้สนใจทั้งสิ้น

เมื่อปี พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแมววิเชียรมาศคู่หนึ่งให้แก่ กงสุลอังกฤษชื่อนาย โอเวน กูลด์ (Owen Gould) แมวไทยคู่นี้ชนะการประกวดแมวที่ กรุงลอนดอน และทำให้ชาวอังกฤษนิยมเลี้ยงแมวไทยมากขึ้น ในที่สุดก็แพร่หลายไปทั่วโลก และแมววิเชียรมาศก็เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า “Siamese Cat” หรือแมวสยาม นับแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา จวบจนถึง สมัยรัชกาลที่ 5 ลาวได้อพยพสู่สยามโดยการกวาดต้อนครัวเรือนชาวลาวไปสยามจำนวนมาก พวกสัตว์ประเภทต่างๆก็คงได้อพยพไปด้วย แมวไทยอาจมีสายเลือดแมวลาวปนอยู่ด้วยอย่างมาก

 

สายพันธุ์แมวไทย

          1. แมวสีสวาด  (โคราช)  ในตำราแมวไทย เรียกแมวสีสวาดว่าแมวมาเลศ หรือ ดอกเลา มีถิ่นกำเนิดที่โคราช จ.นครราชสีมา ซึ่งชาวโคราชให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะในงานพิธีสำคัญๆ เช่น พิธีแห่นางแมว เลือกเอาแมวสีสวาดเพราะว่าสีของ แมวสีสวาด เหมือนกับท้องฟ้าจมผ่าน เมฆฝนตอนฟ้าครึ้ม ชาวโคราชจะถือว่าแมวสีสวาดเป็นแมวแห่งโชคลาภเป็นแมวทำโชค เนื่องจากปลายขนจะมีสีบรอน หมายถึงทรัพย์สินเงินทอง และนำมาซึ่งความสุขสวัสดิ มงคลแก่ผู้เลี้ยง สีมีลักษณะเหมือนกับพืชและผลไม้ มีชื่อว่า สวาดจะมีสีเทาอมเขียว ตาเปลี่ยนไปตามอายุตอนเป็นลูกแมวตาจะมีสีฟ้าแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม เมื่อโตขึ้น และจะเปลี่ยนเป็นสีสดใสเมื่อโตเต็มที่ตาจะมีอยู่ 2 สี สีเขียวมรกต หมายถึง ความอุดมของพืชพันธุ์ธัญญาหาญ และสีทองหรือทองคำ หมายถึง รวงข้าวตอนแก่ ส่วนหน้าตาของแมวสีสวาดคล้ายกับรูปหัวใจ คนในสมัยโบราณมีความเชื่อว่า แมวสีสวาดเป็นแมวนำโชคลาภของคนโคราช และคนเลี้ยงทั่วๆไป จะนำมาซึ่งความสุขสวัสดิมงคลแก่ผู้เลี้ยง แมวสีสวาดเคยประกวด ชนะเลิศในระดับโลกมาแล้วในปี 2503 อเมริกา เป็นแมวตัวเมียชื่อว่าสุนัน และเป็นที่นิยม ของชาวต่างประเทศมาก จึงนับว่าแมวไทยได้ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศเป็นอันมาก

 

 

 

          2. แมววิเชียรมาส ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าแมววิเชียรมาส เป็นแมวที่เลี้ยงกันเฉพาะในวัง หรือตามบ้าน เจ้าขุนมูลนายเท่านั้น และคนโบราณยังเชื่อว่าถ้าใครเลี้ยงแมววิเชียรมาสจะพบกับทรัพย์ สมบัติมากมาย แมววิเชียรมาสเป็นแมวพันธุ์แรกที่คนต่างชาติรู้จัก ชาวต่างประเทศ จะเรียกว่า ไซบิสแคท คือ แมววิเชียรมาสอย่างเดียว และบางคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็น แมวเก้าแต้ม แต่ไม่ใช่ เหตุที่เรียกว่าแมวเก้าแต้ม ก็เพราะว่าลักษณะที่ตัวจะมีสีชาหรือ สีอ่อนๆ หรือสีน้ำตาลอ่อน และที่อวัยวะ 8 แห่ง หรือ 9 แห่ง จะมีสีเข้มเป็นสีน้ำตาลแก่ หรือน้ำตาลไหม้ มีหู 2 ที่ขา 4 และที่หาง 1 ที่หน้า 1 ในตำรามีแค่ 8 แห่ง แต่ปัจจุบันนี้ เพิ่มอีก 1 แห่งตรงอวัยวะเพศไม่ว่าตัวผู้หรือตัวเมียก็เลยเป็น 9 แห่ง คนทั่วไปเลยอาจจะ เรียกว่าแมวเก้าแต้ม ตา ของวิเชียรมาส จะเป็นตาสีฟ้าสดใสน สียิ่งเข้มยิ่งดี ตาจะไม่เปลี่ยนไปตามวัย ขน จะเปลี่ยนไปตามวัยตอนคลอดเกิดมาใหม่ๆ ขนจะเป็นสีขาว พอไดสัก 1 สัปดาห์ ขอบหูจะเริ่มเป็นสีดำ พอต่อมาขากับหางจะมีสีเข้มขึ้น ตัวจากสีขาวจะเริ่มออกเป็นสีนวล พออายุตั้งแต่ 5 เดือนถึง 1 ขวบ มันจะอยู่ในวันที่สวยที่สุด ในการประกวด แมววิเชียรมาสที่มีอายุมากจะสู้ตัวที่มีอายุน้อยๆไม่ได้ คือ ช่วง 7 เดือนขึ้นไปจะสวยมาก พอแมวอายุสัก 1-2 ปี แมวจะเปลี่ยนขนใหม่จากเป็นสีเข้มจะกลับมา เป็นสีนวลสวยเหมือนตอนแรกๆอีกครั้งในปี พ.ศ.2428 แมววิเชียรมาศก็ไปประกวด ที่ต่างประเทศในรัชกาลที่ 5 ทรงให้แมววิเชียรมาสเป็นของขวัญแก่กงศุลชาวอังกฤษ และได้ให้แมวแก่น้องสาวในงานเลี้ยง พออีก 1 ปีก็ได้มีการประกวดแมวที่ซีซ่าพาเลซ ผลการประกวดแมววิเชียรมาสได้ที่ 1 หลังจากนั้นชาวต่างประเทศก็ได้รู้จัก แมววิเชียรมาส ว่าเป็นแมวของไทย

 

 

         3. แมวขาวมณี ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีหลักฐานยืนยันว่า แมวขาวมณีนั้นเป็นแมวไทย หลักฐานจะมี ภาพตามโบสถ์ของวัดต่างๆ เช่น วัดทองนพคุณ เป็นต้น แมวขาวมณีเรียกอีกอย่างว่า แมวขาวปลอด คือขาวทั้งตัว และจะมีลักษณะพิเศษ คือดวงตาจะมีอยู่ 3 สี บางตัวมีสีฟ้าทั้ง 2 ข้าง บางตัวจะมีสีเหลืองทั้งสองข้างบางตัวก็จะมีสีเหลืองอำพันอยู่ข้างหนึ่ง เรียกว่า ขาวมณีตา 2 สี บางตัวที่มีตา 2 สี ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะเด่น และมีคนต้องการแมวตา 2 สีมากกว่าสีเดียวเพราะหายากกว่าแมวตาสีเดียว

 

 

          4. แมวศุภลักษณ์ หรือเรียกอีกอย่างว่าแมวทองแดง ขนมีสีน้ำตาล หรือสีสนิมเหล็ก หรือต้องเป็น น้ำตาลอมแดงสว่างๆ หนวดจะต้องเหมือนสันลวดทองแดง แมวศุภลักษณ์แปลว่า ลักษณะดีมีรูปร่างที่สวยงามสมกับชื่อ ตัวจะยาวหางยาวปราดเปรียว ตา เป็นตาสีเหลืองหรือสีเหลืองอมฟ้า แต่จะสู้เหลืองอำพันไม่ได้ และชาวต่างชาติ คิดว่าแมวศุภลักษณ์เป็นแมวของประเทศพม่า แต่จริงๆแล้ว แมวศุภลักษณ์เป็นแมวของประเทศไทย แต่แมวของพม่าอาจจะมีลักษณะคล้าย กับแมวศุภลักษณ์ของไทยก็อาจเป็นได้ ชาวต่างชาติจึงเข้าใจผิดเรียกชื่อแมวศุภลักษณ์ ของไทยว่า เบอร์มีสแคท หรือแมวพม่าแมวศุภลักษณ์ในปัจจุบันเป็นแมวที่หายากมาก ในการประกวดแต่ละครั้ง มีจำนวนน้อยมากและเป็นที่นิยมของชาวต่างประเทศ ตามตำราคนโบราณเชื่อว่า “ถ้าใครเลี้ยงไว้จะได้ยศถายิ่งพันพรรณาเป็นที่อำมาตย์มนตรี” ในปัจจุบันนี้แมวศุภลักษณ์หายากมากถ้าใครพบเห็นรีบเลี้ยงไว้เถิดเพราะเป็นแมวที่มีค่ามาก

 

 

 

 

          5. แมวโกญจา ที่เรียกกันอีกชื่อว่า แมวดำปลอด บางคนเรียกว่าดำมงคล สีดำทั้งตัว มีตาเป็นสีเหลือง อำพัน เหมือนสีดอกบวบแรกแย้มหรือสีเหลืองนั่นเอง ลักษณะท่าทาง สง่าเหมือนสิงโต เป็นที่น่าเกรงขามแมวโกญจาดูตามความหมายแล้วแปลว่านกกระเรียน อีกอย่างหนึ่งแปลว่า เสียงดังกึกก้องกังวาลเวลาร้องขน แมวโกญจาจะต้องเป็นขนสั้นบางเป็นระเบียบเรียบร้อยปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเรียกแมวโกญจาว่าแมวนิลรัตน์ เพราะว่ามีสีดำคล้ายกัน แมวนิลรัตน์นั้นลักษณะสีจะต้องมีดำทุกอย่าง แต่ปัจจุบันนี้ จะดำไม่หมดทุกอย่าง ซี่งเป็นแมว ที่หาได้ง่ายมากที่สุดกว่าทุกสายพันธุ์ที่เหลืออยู่ ราคาไม่แพงเพราะว่าคนไม่นิยมที่จะเลี้ยง เนื่องจากจะสร้างภาพพจน์ให้กับแมวดำว่าเป็นแมวผี ตามตำราคนโบราณ เชื่อว่า “แมวนี้ถ้าเลี้ยงดีจะมีคุณหนังหนาจงเร่งหามาอย่าแคลงสงสัย”

 

 

          6. แมวแซมเสวตร ลักษณะของแมวแซมเสวตรมีสีดำแซมด้วยสีขาวคู่ทั่วทั้งตัวตา สีเหลืองอมเขียว เหมือน กับแสงหิ่งห้อยสีเหลืองอ่อน แมวแซมเสวตรเป็นแมวถูกค้นหาจนพบ และนำมา ผสมพันธุ์เพื่อให้ออกมาเป็นแมวแซมเสวตรที่มีสายเลือด เหมือนในสมัยโบราณ ซึ่งปัจจุบันนี้ ได้มีคนผสมพันธุ์แมวแซมเสวตรขึ้นมาที่เป็นอยู่เพียงไม่กี่ตัวในประเทศไทย และอีกอย่าง หนึ่งที่เป็นสิ่งที่น่ายินดีสำหรับคนไทยทุกคนคือ แมวแซมเสวตรเป็นแมวที่ชาวต่างชาติ ยังไม่รู้จักไม่เคยเห็นและยัง ไม่ได้เอาของเราไปจดลิขสิทธิ์ว่าเป็นแมวของ คนต่างชาติ และเราก็จะจดทะเบียนแมวแซมเสวตรให้เป็นของไทยเราในเร็วๆนี้กับทางชมรมคนรักแมวสยามที่จะเปลี่ยนจากชมรมมาเป็นสมาคมคนรักแมวสยาม

 

ลักษณะแมวดีให้คุณ 17 ชนิด

 

1. แมวมาเลศ เรียกอีกชื่อว่าแมวดอกเลา ลำตัวมีสีขี้เถ้าหรือสีสวาด บางตัวอาจมีขาวแซมกลายเป็นสีดอกเลา (สีคล้ายเมฆก่อนฝนตก) มีดวงตาสีเหลืองอำพัน เลี้ยงไว้จะมีความสุข เป็นที่รักใคร

 

่ 2. แมวศุภลักษณ์ เรียกอีกชื่อว่าแมวทองแดง มีสีทองแดงหรือน้ำตาลแดงเข้มทั่วตัว ดวงตาสีเหลืองใสเป็นประกาย ผู้ใดเลี้ยงไว้มีแต่จะเพิ่มยศยิ่งขึ้นไป

 

 
3. แมววิเชียรมาศ สีพื้นเป็นสีขาวหม่น และมีแต้มสีดำ (ที่จริงคือน้ำตาลเข้มมาก) ที่หน้า หาง เท้าทั้ง4 หูทั้ง2 และอวัยวะเพศด้วย รวมเป็นเก้าแห่ง (ในโคลงกลอนบอก 8 เพราะไม่รวมแต้มที่อวัยวะเพศ) ดวงตาสีฟ้าสด เลี้ยงไว้จะนำโชคลาภมาให้

 

 
4. แมวแซมเศวต มีขนสีดำแซมสีขาวเล็กน้อย ขนบางและสั้น ร่างเพรียว ดวงตาสีเขียว มีคุณด้านใดไม่ได้บอกไว้

 

 

 
5. แมวนิลรัตน์ สีดำสนิททั้งตัวไม่ว่าจะเป็นขน ตา เล็บ ลิ้น ฟัน หางเรียว เลี้ยงไว้จะได้ทรัพย์สินเงินทอง

 

 
6. แมวสิงหเสพย์ มีขนสีดำ แต่มีด่างชาวที่จมูก รอบปากและรอบคอ ดวงตาสีเหลืองทอง เลี้ยงไว้จะได้ทรัพย์สินเงินทอง และจะมีสุข

 

7. แมวเก้าแต้ม สีพื้นสีขาวแต้มด้วยสีดำนับรวมทั้งหมด 9 แต้ม เลี้ยงไว้ค้าขายดี เจริญรุ่งเรือง

 

 
8. แมววิลาศ สีพื้นสีดำ มีแต้มสีขาวที่หูทั้ง 2 เท้าทั้ง 4 แต้มเป็นเส้นตรง 2 แห่งคือ ตั้งแต่คอถึงปลายหาง และตั้งแต่ปากล่างถึงท้อง เลี้ยงไว้จะได้ยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สิน

 

 
9. แมวรัตนกำพล สีขาวนวล มีแต้มสีดำเป็นวงแหวนพาดรัดรอบลำตัว ตาสีทอง เลี้ยงไว้จะได้อำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์

 
10. แมวกรอบแว่นหรืออานม้า สีพื้นสีชาวแต่มีแต้มสีดำกลางหลัง ดูแล้วคล้ายอานม้า และแต้มดำบริเวณรอบดวงตาเหมือนใส่แว่น เลี้ยงไว้จะมีชื่อเสียง แต่หาได้ยาก

 
11. แมวมุลิลา สีพื้นสีดำ แต้มขาวที่หูทั้ง 2 ข้าง ดวงตาสีเหลือง พระสงฆ์ควรเลี้ยง จะทำให้ศึกษาเรียนรู้ธรรมได้ดียิ่งขึ้น

 

 
12. แมวนิลจักร สีพื้นเป็นสีดำ มีแต้มสีขาวรอบคอเหมือนใส่สร้อย เลี้ยงไว้จะได้เงินทองทรัพย์สิน

 
13. แมวกระจอก ลำตัวอ้วนกลม สีพื้นสีดำมีแต้มขาวเฉพาะบริเวณปาก ดวงตาสีเหลืองทอง เลี้ยงไว้จะได้ทั้งเงินทองและยศถาบรรดาศักดิ์

 

 
14. แมวปัดเศวตหรือปัดตลอด สีพื้นสีดำ มีแต้มขาวยาวตั้งแต่ปลายจมูก ผ่านหลังไปถึงปลายหาง ดวงตาสีบุษราคัม (พลอยสีเหลือง) เลี้ยงไว้จะมีชื่อเสียงเกิดแก่วงศ์ตระกูล

 

 
15. แมวการเวก มีสีพื้นเป็นสีดำ มีแต้มขาวเฉพาะตรงสันจมูกเท่านั้น ดวงตาสีอำพัน เลี้ยงไว้จะมีโชคลาภและยศ

 

 
16. แมวจตุบท สีพื้นสีดำ มีแต้มขาวที่ขาและเท้าทั้ง 4 และแต้ม
ยาวตั้งแต่หน้าอกถึงท้อง ดวงตาสีเหลือง เชื้อพระวงศ์ฝ่ายราชินีเท่านั้นจึงควรเลี้ยง

 

 
17. แมวโกญจา สีดำสนิททั้งตัว (เฉพาะขน) ขนละเอียด หน้ายาว หางยางเรียว เท้าเหมือนเท้าสิงโต เวลาเดินท่าทางเหมือนสิงโต ดวงตาสีทองอ่อน ๆ เลี้ยงไว้จะมีอำนาจ

 

แมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด

1.       ทุพลเพศ มี ขนสีขาว ดวงตาสีแดงดั่งโลหิตทาตาไว้ มีนิสัยไม่ดีชอบลักขโมยปลาไปกินทุกคำคืน ใครเลี้ยงไว้จะให้โทษไม่เป็นสุขเกิดความเดือดร้อนแรงผลาญ

 

 

2.       พรรณพยัคฆ์ หรือ ลายเสือ มีขนลายเหมือนเสือ ลักษณะขนเหมือนชุบด้วยเกลือกับแกลบ มีนัยน์ตาสีแดงเจือสีเปือกตม มีเสียงร้องเหมือนเสียงผีโป่งร้องอยู่ตามป่าเขา ถือว่าเป็นแมวให้โทษอีกชนิดหนึ่ง

 

 
3.       ปีศาจ เป็นแมวที่กินลูกตัวเอง ออกลูกมากี่ตัวกินหมด ลักษณะขนสาก ตัวผอม หนังยาน โบราณจัดเป็นแมวร้ายอย่านำมาเลี้ยงไว้

 
4.       หิณโทษ เป็นแมวนำมาซึ่งสิ่งเลวร้าย นำภัยพิบัติมาสู่บ้าน ใครเลี้ยงไว้จะไม่เป็นมงคล ออกลูกมามักจะมีลูกตายอยู่ในท้อง

 

 
5.       กอบเพลิง เป็นแมวที่ลึกลับชอบซ่อนตัวหลบหลีกผู้คน พอมันเห็นคนมันจะเดินหรือรีบวิ่งหนี ใครเลี้ยงไว้จะมีโทษถึงตัว

 

 
6.       เหน็บเสนียด มีลักษณะเหมือนค่าง ชอบเอาหางขดซ่อนไว้ใต้ก้นเสมอ มีรูปร่างพิกลพิการ อย่าเลี้ยงไว้ในบ้านจะทำให้เสียชื่อเสียงและเกียรติยศ

 

10 วิธีการที่แมวเหมียวบอกรัก

 

1. กระโดดนั่งตักคุณ แล้วก็ใช้หน้าถูกับตัวคุณ แมวส่วนใหญ่มักจะแสดงออกแบบนี้ เรียกว่าเป็นการแสดงออกแบบสากลก็ว่าได้
2. ส่งเสียงร้องเรียกคุณ “เมี้ยว เมี้ยว” เบา ๆ แล้วก็ทำหน้าอ้อน ๆ ทำตาหวานใส่แมวที่เรียบร้อยมักจะเป็นแบบนี้
3. กัดที่หน้าแข้ง หรือข้อศอกเบา ๆ เจ้าของบางคนจะไม่ชอบ และเข้าใจผิดว่าแมวดุ แต่จริง ๆแล้วเป็นการแสดงความรักของแมว
ระดับจ่าฝูงก็ว่าได้ เพราะพวกนี้จะอ้อนไม่ค่อยเป็น
4. นวดหลัง บางครั้งเมื่อคุณนอนอยู่จะเห็นว่าแมวจะขึ้นไปเดิน หรือเหยียบหลังคุณ ถ้าหากคุณรู้สึกพอใจมันก็จะทำบ่อย ๆเพื่อ
ให้คุณสบาย แมวพวกนี้จัดเป็นพวกไอคิวสูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
5. หอมแก้ม บางครั้งเวลาอุ้มแมวจะถูกแมวหอมแก้ม อันนั้นมันบอกว่า ” รักคุณมากเลยหล่ะ ”
6. แมวใช้เท้าหน้าลูบหน้าคุณ หรือตบที่หน้าเบา ๆ ลักษณะนี้ก็เหมือนกับความรู้สึกเวลาคุณลูบหน้าคนที่คุณรักนั่นแหละ
7. ลูบหน้า แล้วก็ร้อง ๆ เบา ๆ มันบอกคุณว่า ” รักเจ้านายมากที่สุดในโลกเลย ”
8. แมวเอาตัวมาถูที่ขา แรง ๆ แล้วก็ร้องดัง ๆ อันนี้เป็นการแสดงออกว่ารัก ของแมวประเภทหัวโจกชอบโวยวาย
9. กระโดดเกาะที่หลังเวลาเจ้าของนั่งลง แมวขี้เล่น หรือแมวที่ซุกซน หรือแมวเด็ก ๆ มักจะแสดงออกแบบนี้ก็เหมือนกับเวลาที่
ตอนคุณเด็ก ๆ คุณก็อยากให้พ่อ อุ้มหลังขึ้นเหมือนกัน
10. มานอนซุกคุณเวลาคุณนอนหลับ อันนี้แสดงว่ารักมาก อยากอยู่ด้วยตลอดเวลา แม้เวลาจะนอนหลับ

 

หางบอกอารมณ์

 

–  ถ้าหางม้วนห้อยลง แต่ส่วนปลายหางม้วนชี้ขึ้น แสดงว่าแมวตัวนี้กำลังรู้สึกสบายและผ่อนคลาย
–  ถ้าหางของแมวตั้งขึ้น แต่ปลายหางเอียง ไม่ว่าจะเป็นการเอียงไปข้างหน้า หรือข้างหลัง แสดงว่าแมวตัวนี้กำลังสนใจและมีความรู้สึกเป็น
มิตรต่อสิ่งที่สนใจ
–  ถ้าหางของแมวตั้งตรง โดยที่หาง หรือปลายหางกระดิก หรือสั้นอย่างนุ่มนวลแสดงว่าแมวกำลังแสดงความชอบ ความรัก
–  ถ้าหางของแมวนิ่ง แต่ปลายหางมีการกระตุกอย่างหนัก แสดงว่าแมวกำลังรู้สึกโกรธมาก
–  ถ้าหางของแมวสะบัดอย่างรุนแรงจากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง แสดงว่าแมวกำลังโกรธ
–  ถ้าหางของแมวโค้งและขนตั้งชัน แสดงว่าแมวอาจจะตรงเข้าทำร้ายได้ ถ้ามีการกระตุ้นเร้าเพิ่มอีก
–  ถ้าหางของแมวทอดตัวต่ำลงและลุกพองออกแสดงว่าแมวกำลังกลัว
–  ถ้าหางของแมวลดตัวลงต่ำมาก บางครั้งอาจจะพบว่าซุกอยู่ระหว่างขาหลัง อาจจะแสดงว่าแมวกำลังยอมแพ้
–  ถ้าหางของมันยกขึ้นเล็กน้อยและม้วนเล็กน้อยอย่างนุ่มนวล แสดงว่าแมวตัวนี้กำลังรู้สึกเริ่มที่จะสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
–  ถ้าหางตั้งตรงและปลายหางตั้งตรงในแนวดิ่ง แสดงว่าแมวกำลังมีอารมณ์ดี รู้สึกเป็นมิตร เมื่อได้พบกัน
–  ถ้าหางของแมวอยู่นิ่งๆ แต่จะมีการกระตุกเป็นครั้งคราว แสดงว่าแมว รู้สึกว่าถูกรบกวน หรือมีความกังวล ทุกข์
–  ถ้าหางแมวเหยียดตรงชี้ขึ้น แต่ขนที่หางลุกชัน แสดงว่แมวกำลังดุร้ายก้าวร้าว
–  ถ้าหางของแมวทอดตัวอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง และแมวหมอบ หรือย่อตัวอยู่ หรือยกส่วนตะโพกสูงขึ้น แสดงว่าแมวตัวเมียตัวนั้นพร้อมที่จะรับการผสมพันธุ์

 

แมวตกจากตึกสูงกี่ชั้นถึงจะตาย ?

 

คนโบราณเชื่อว่าแมวมี 9 ชีวิต ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเห็นแมวตกจากที่สูงแล้วไม่ตาย แล้วทำไมแมวตกจากที่สูงแล้วถึงไม่ตาย? ถ้าตอบตามสามัญสำนึกก็คงตอบว่า เพราะแมวสามารถพลิกตัวแล้วเอาขาลงพื้นได้ทุกครั้ง ไม่เหมือนเวลาคนตกจากสูงที่มักจะเอาหัวลงก่อนทุกที แล้วถ้าเราเพิ่มความสูงขึ้นล่ะ? อย่างเช่นปล่อยแมวลงมาจากตึกใบหยกแมวจะยังมีชีวิตรอดรึเปล่า? ความคิดนี้ดูโหดร้ายขึ้นมาทันที แต่นักวิทยาศาตร์เองก็เคยสงสัยเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

“แมวตกจากที่สูงแค่ไหนถึงจะตาย?” ในปี 2532 นักวิทยาศาสตร์ชื่อ Jared Diamond ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาเรื่องนี้ในวารสาร Nature โดยใช้ชื่อเรื่องว่า Why cats have nine lives (ทำไมแมวถึงมี 9 ชีวิต) เป็นผลการศึกษาจากแมว 115 ตัว ซึ่งตกจากตึกความสูงต่างๆ ตั้งแต่ 2 ชั้น จนถึง 32 ชั้น! พบว่าแมว 104 ตัว (90%) มีชีวิตรอด และได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก หลายคนคงเดาว่าแมวที่ตายนั้น คงเป็นตัวที่ตกมาจากตึกชั้น 31-32 แต่เปล่าเลย แมวที่ตายส่วนใหญ่ตกลงมาจากชั้น 7 ! และที่ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่ตกลงมาจากชั้น 4-9! ในขณะที่แมวที่ตกมาจากชั้นสูงๆ (20-32) กลับได้รับบาดเจ็บน้อยกว่า เป็นผลการศึกษาที่ขัดแย้งกับความรู้สึกทั่วไปอย่างมาก

ในขณะที่ตกจากที่สูงแมวจะกางขาออกเมื่อรวมกับขนที่ฟูนุ่มช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวอย่างมาก ทำให้มีความเร็วปลายอยู่ที่ประมาณ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง หมายความว่า ไม่ว่าจะปล่อยแมวจากความสูงเท่าใดก็ตามความเร็วสูงสุดที่แมวจะตกลงมากระแทกพื้น คือ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เนื่องจากแมวมีน้ำหนักค่อนข้างน้อย ด้วยความเร็วเพียงเท่านี้จึงไม่ทำให้แมวตาย แล้วคนล่ะ มีความเร็วปลายเช่นเดียวกับแมวหรือไม่? คำตอบคือ มี ครับ หากกางแขนกางขาขณะตกจากที่สูงในลักษณะเดียวกับนักโดดร่ม คนจะมีความเร็วปลายอยู่ที่ประมาณ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่สำหรับคนที่คิดจะลองกระโดดมาจากยอดตึกล่ะก็ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า อย่าเลียนแบบแมวนะครับ เพราะด้วยน้ำหนักของคนที่มากกว่าแมว ถ้าตกลงมาความเร็ว 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตายแน่นอน

เพราะฉะนั้นสำหรับคำถามที่ว่า แมวตกจากที่สูงแค่ไหนถึงจะตาย? คำตอบคือ ไม่ว่าตกจากที่สูงขนาดไหนแมวก็ไม่ตาย ตราบใดที่ยังมีอากาศให้แมวหายใจและเป็นการปล่อยให้ตกอย่างอิสระ (ไม่ใช่จับทุ่มลงมา) แต่อาจจะมีคนแย้งว่า “ก็มีแมวตกจากชั้น 7 ตายไง เพราะฉะนั้นก็เป็นความสูงของตึก 7 ชั้น ที่แมวตกลงมาตายสิ” จริงอยู่ครับที่อัตราการตายของแมวสูงที่สุดเมื่อตกจากตึก 7 ชั้น แต่การแมวตายและบาดเจ็บนี้ไม่ได้เกิดจากความสูงเป็นหลัก แต่เป็นเพราะปัจจัยอื่นต่างหากถ้าเราตกจากระเบียงตึกชั้น 2 ความสูงเท่านี้คงไม่ทำให้เราบาดเจ็บสาหัสนัก แต่ถ้าเราเอาหน้าผากลงพื้นแทนที่จะเป็นขา ไม่แน่ก็อาจจะถึงตายเหมือนกัน เช่นเดียวกันกับแมวครับ ปัจจัยที่มีผลอย่างมากต่อการบาดเจ็บและการตายของแมวเมื่อตกจากที่สูงคือ ท่าทางของแมวขณะที่อยู่กลางอากาศและขณะลงพื้น หรือที่ในวงการยิมนาสติกเรียกกันว่า “การจัดระเบียบร่างกาย” ด้วยสัญชาตญาณของแมวทำให้สามารถจัดระเบียบร่างกายตัวเองขณะอยู่กลางอากาศได้อย่างดีเยี่ยม สร้างแรงต้านอากาศ ทำให้ตกลงสู่พื้นด้วยความเร็วปลาย แมวจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนักอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น อย่างไรก็ตามแมวเองก็ต้องใช้เวลาจัดระเบียบร่างกายเช่นกัน ดังนั้นการตกจากตึกที่ไม่สูงมากนักแมวจึงพลิกตัวให้อยู่ในท่าที่ถูกต้องไม่ทัน ทำให้ไม่สามารถชะลอความเร็วในการตกได้ รวมทั้งมีโอกาสลงผิดท่าจนได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น
สรุปได้ว่า เมื่อแมวตกจากตึกสูงมากๆ จะไม่บาดเจ็บมากนักเพราะมีเวลาเหลือเฟือในการจัดระเบียบร่างกาย เช่นเดียวกับเมื่อตกจากที่ที่ไม่สูงมากนัก (ชั้น 2-3) ความเร็วขณะตกถึงพื้นนั้นยังต่ำกว่าความเร็วปลายค่อนข้างมาก แม้จะพลิกตัวไม่ทัน หรือจัดระเบียบร่างกายได้ไม่สมบูรณ์ ก็ยังไม่บาดเจ็บมากนัก ในขณะที่ความสูงระดับกลางๆ (ชั้น 4 – 9) ความเร็วในการตกอยู่ในระดับที่ทำให้แมวบาดเจ็บรุนแรงได้หากลงด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง แต่ระยะเวลาที่ตกจากระดับความสูงนี้ (ชั้น 4 – 9) ก็สั้นเกินกว่าที่แมวจะจัดท่าทางให้สมบูรณ์ได้ทัน แมวจึงมีอัตราการตายและบาดเจ็บสูงสุดที่ช่วงความสูงกลางๆ

กุญแจสำคัญที่ทำให้แมวรอดตายหรือไม่ หรือจะบาดเจ็บมากหรือน้อยเมื่อตกจากที่สูง คือ การที่แมวสามารถกลับตัวมาอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดได้ทัน ซึ่งจะช่วยชะลอความเร็วจนไม่ทำให้ถึงตาย ความสามารถนี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก เพราะไม่ว่าแมวจะตกจากตึกด้วยท่าทางแบบไหน สุดท้ายก็จะสามารถจัดท่าทางให้เหมาะสมได้หากมีเวลาพอสมควร นักวิทยาศาสตร์ทึ่งในความสามารถในการกลับตัวของแมวถึงขนาดศึกษาเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง จนมีวิชาที่เรียกว่า “feline pesematology” (feline = แมว, pesema = ตก) ถ้าแปลเป็นไทยก็น่าจะเป็น แมวตกวิทยา หรือ แมวดิ่งพสุธาวิทยา แต่คิดว่าอย่าแปลจะดีกว่า

นักเฟลีนเพเซมาโทโลจีค้นพบว่าแมวมีระบบประสาทที่รับรู้การทรงตัวที่ดีกว่าคนมาก คนมีอวัยวะซึ่งอยู่ในหูชั้นในที่ทำหน้าที่รับรู้การทรงตัวของร่างกาย อวัยวะนี้คอยบอกว่าเรายืนตัวตรงอยู่หรือเรานอนราบอยู่ สำหรับแมวแม้จะหมุนตีลังกาอยู่กลางอากาศก็ยังสามารถแยกแยะว่าด้านบนและด้านล่างอยู่ทางไหนได้อย่างถูกต้อง แมวจะเริ่มหมุนส่วนหัวให้ถูกทิศก่อน ตามด้วยขาหน้าและขาหลัง โครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อที่ยืดหยุ่นช่วยให้แมวสามารถสามารถบิดตัวในลักษณะที่มนุษย์ไม่สามารถเลียนแบบได้ นอกจากนี้ยังพบกลไกที่น่าทึ่งอีกอย่าง ซึ่งมีส่วนช่วยให้แมวรอดชีวิตจากการตกตึก
แน่นอนว่าถ้าเราตกลงบนพื้นปูนย่อมได้รับบาดเจ็บมากกว่าการตกลงบนฟูกนุ่มๆ แต่ไม่ได้เป็นเพราะแรงกระแทก ที่จากการตกลงบนพื้นปูนมีมากกว่าบนฟูก แรงกระแทก (หรือโมเมนตัม) มีเท่ากัน เพียงแต่การตกลงบนพื้นปูน ร่างกายที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง จะหยุดในพริบตาที่กระทบพื้น ร่างกายจึงได้รับแรงกระแทกทั้งหมดในเสี้ยววินาทีจึงบาดเจ็บรุนแรง แต่การตกลงบนฟูก เมื่อร่างกายสัมผัสฟูกความเร็วจะลดลงพร้อมกับฟูกยุบลงเรื่อยๆ จนร่างกายหยุดนิ่งในที่สุดซึ่งอาจเป็นเวลา 1-2 วินาที หมายความว่าแรงที่กระแทกร่างกายจะถูกกระจายออกตามช่วงเวลาที่ใช้หยุดการตก ร่างกายจึงบาดเจ็บน้อยกว่า ดังนั้นหากยืดช่วงเวลาที่ใช้หยุดการตกให้นานขึ้นก็จะกระจายแรงกระแทกทำให้ได้รับบาดเจ็บน้อยลง

แมวมีโครงสร้างร่างกายที่ช่วยกระจายแรงได้ดีมาก จากวิดีโอที่ถ่ายด้วยกล้องความเร็วสูงเผยให้เห็นว่า หลังจากที่แมวกางขาเพื่อต้านลมแล้ว แมวจะเหยียดขาจนสุดไปที่พื้น พร้อมกับโก่งตัวสุดขีด เพื่อเตรียมรับแรงกระแทก ด้วยท่าทางเช่นนี้เมื่อขาแมวสัมผัสพื้นแรงกระแทกที่ได้รับจะส่งไปยังข้อต่อต่างๆ พร้อมกับการย่อตัวลง ตามด้วยการยืดกระดูกสันหลังที่โก่งตัวอยู่ การเคลื่อนไหวที่คล้ายสปริงเหล่านี้ช่วยยืดเวลาที่ใช้หยุดการตกและกระจายแรงออก สรีระของแมวที่ยืดหยุ่นนี้จึงช่วยให้แมวได้รับบาดเจ็บน้อยลงอย่างมาก

แม้จะทราบว่าแมวตกจากที่สูงมากๆ ก็ยังไม่ตาย แต่นั่นก็เป็นแค่ข้อมูลในเชิงทฤษฎี ในชีวิตจริง การตกจากสูงนั้นแมวต้องอาศัยหลายปัจจัยในการผ่อนแรงกระแทกเพื่อให้ถึงพื้นอย่างปลอดภัย ทั้งการพลิกตัวให้ทิศทางถูกต้อง ชะลอความเร็ว และลงพื้นด้วยท่าที่เหมาะสม ทุกอย่างต้องสมบูรณ์พร้อม ความบกพร่องบางอย่าง เช่น การที่แมวตกใจอาจทำให้แมวพลิกตัวได้ช้าลง แมวที่อ้วนอาจมีน้ำหนักมากจนทำให้เสียสมดุลจนมีความเร็วปลายทางสูงขึ้น แมวหางด้วนอาจจะทำให้มีแรงส่งในการพลิกตัวน้อยลง รวมทั้ง ประสบการณ์ในการตกจากที่สูงของแมวก็อาจมีผลต่อการจัดระเบียบร่างกายที่ละเอียดอ่อนซึ่งเรายังไม่เข้าใจก็เป็นได้ ดังนั้นแม้จะรู้ว่าตกลงมาแมวก็ไม่ตาย ก็ไม่ควรแกล้งแมวหรือลองทำดูที่บ้านนะครับ แทนที่จะใช้แกล้งแมว ความรู้เรื่องการตกของแมวควรนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์จะดีกว่า ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นเจ้าของแมวและจำเป็นต้องอยู่ในทาวน์เฮาส์ก็ให้เลือกชั้นสูงๆ ซักชั้น 15-20 แทนที่จะเป็น ชั้น 4-9 หรือ หากเห็นคนใจร้ายกำลังจะโยนแมวจากตึกชั้น 5 ห้ามยังไงเค้าก็ไม่หยุด เราอาจช่วยชีวิตแมวได้โดยบอกให้ไปโยนจากชั้นที่ 15 แทน เป็นต้น

 

ความเชื่อเรื่องแมวเหมียว

                                                                       

                                                ความเชื่อเรื่องแมว

ความเชื่อเรื่องแมว  มีมานานกว่า 400 ปีแล้ว  ตามตำนานเล่าว่ามีหญิงชราคนหนึ่ง มีฐานะยากจนมาก แต่ก็พยายามจะเจียดอาหารเท่าที่มีแบ่งเลี้ยงแมวที่เธอรัก แต่วันหนึ่งเธอก็ไม่สามารถเลี้ยงแมวตัวนั้นต่อไปได้อีก เธอจึงนำมันไปปล่อย คืนนั้นเธอนอนร้องไห้ด้วย ความเสียใจ แล้วเธอก็ฝันเห็นแมวมาบอกให้เธอปั้นรูปแมวด้วยดินเหนียว แล้วจะทำให้โชคดี

หญิงชราตื่นขึ้นมาก็ปั้นแมวด้วยดินเหนียวตามความฝัน วันนั้นมีแขกมาหา และขอซื้อแมวตัวนั้นไป ยิ่งหญิงชราปั้นแมวมากเท่าใด ก็มีคนมาขอซื้อมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดเธอก็มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงแมวที่เธอรักตลอดไป

หลังจากนั้นมาคนญี่ปุ่น ก็มีความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์นำโชค จึงมีการทำเป็นแมวนางกวักที่เราได้เห็นๆ กันทั่วไป แต่มีข้อสังเกตด้วยนะ แมวที่กวักมือซ้ายจะเรียกคนเข้าร้าน ยิ่งยกแขนกวักสูงแค่ไหน ก็เรียกคนได้มากแค่ นั้น แต่ถ้ากวักมือขวา เป็นการเรียกเงินทอง และความโชคดีเข้าบ้าน

        ส่วนแมวสามสีกวักมือซ้ายที่ถือว่าโชคดีที่สุด เงินทองไหลมากเทมาเลย และแมวสีดำ ผู้หญิงญี่ปุ่นก็มีความเชื่อว่าสามารถใช้เป็นเครื่องรางป้องกันภัยอัตรายทั้งปวงได้

แมวกวักนำโชคญี่ปุ่น
กวักมือซ้าย = การงาน
กวักมือขวา = โชคลาภ
แมวถือลูกแก้ว , แมวพนมมือ = การขอพร
ความเชื่อเรื่องแมวในด้านต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้ด้านสภาพอากาศ-หากแมวจามนั่นหมายความว่าฝนกำลังจะตก และหากแมวจามสามครั้งให้ระวังเจ้าของแมวจะเป็นหวัด
– หากแมววิ่งวุ่นไปมาและลับคมเล็บไปทั่วแสดงว่าลมและพายุกำลังจะมา และหากแมวนิ่งสงบลมพายุ
เหล่านั้นจะพัดผ่านไป
–  หากแมวทำความสะอาดหูของมันให้ระวังฝนที่กำลังเทลงมา
–   หากแมวกลิ้งเกลือกบนหญ้า คุ้ยเขี่ยดิน และมีท่าทีตื่นตระหนก จะมีฝนตกหนักในอีกไม่ช้า
-หากแมวมีอาการวิตกกังวลและเดินไปมาไม่หยุด จะมีลมแรง
– หากแมวนอนหงายท้องหน้าเตาผิงจะเกิดแม่คะนิ้งในค่ำคืนนั้น
-หากแมวออกเที่ยวกลางคืนและส่งเสียงหง่าว ๆ ดังลั่น จะเกิดภาวะอากาศย่ำแย่ติดต่อกันหลายวัน        ในยุคโบราณ ยุคที่เกษตรกรพื้นเมืองใช้สัตว์บูชาเทพเจ้า เพื่อขอให้มีฤดูกาลที่เอื้อต่อการเพาะปลูก และขอให้มีดิน อุดมสมบูรณ์เพื่อผลผลิตจำนวนมาก หนึ่งในสัตว์ที่ใช้เป็นเครื่องสังเวยเทพเจ้าคือ แมวนั่นเอง ในแถบยุโรปตะวันออก เกษตรกรพื้นเมืองจะบูชายัญแมวด้วยการฝังทั้งเป็น โดยเชื่อว่าแมวจะทำให้มีผลการเก็บเกี่ยวที่ดี และได้ผลผลิตที่ดีที่สุด และในบางพื้นที่จะมัดแมวด้วยเปลือกข้าวโพดแล้วทุบแมวจนตาย ในไร่ด้วยเหตุผล         ในอดีตเกษตรกรชาวฝรั่งเศสและชาวเยอรมันเชื่อว่า หากพวกเขาเลี้ยงดูแมวให้อยู่ดีกินดีมากที่สุดในวันแรกของฤดูกาลเก็บเกี่ยว พวกเขาจะได้ผลผลิตทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด
– หากเกษตรกรฆ่าแมว จะทำให้สัตว์เลี้ยงของเขาตายอย่างปริศนา และหากใครแตะแมวจะทำให้เป็นโรคข้อเสื่อม ในด้านความตาย
– แมวดำอยู่เหนือหลุมฝังศพใหม่ หมายถึง ภูตผีได้รับวิญญาณ
– แมว 2 ตัวต่อสู้กันเหนือหลุมศพมันกำลังต่อสู้เพื่อดวงวิญญาณของผู้ตาย
– ถ้าคนป่วยเห็นแมว 2 ตัวต่อสู้กันเขาจะตาย
– แมวไม่พักอยู่ในบ้านที่กำลังมีคนตาย
– แมวดูดดวงวิญญาณจากเด็กทารก ในด้านโชคลาภ
– เสียงแมวจามนำโชคมาสู่ทุกคนที่ได้ยิน
– ฝันเห็นแมวขาว หมายถึง โชคดี
– คนแปลกหน้ามาเยี่ยมบ้านจะโชคดีถ้าพวกเขาจูบแมวในบ้าน
– การเห็นแมวขาวระหว่างวันโชคดี แต่ตอนกลางคืนถือว่าโชคร้ายฝันถึงแมวสามสีจะโชคดีในเรื่องความรัก
ฝันถึงแมวสีส้มจะมีโชคในเรื่องการเงินและธุรกิจ
ฝันถึงแมวสีดำ-ขาวจะได้ลาภก้อนโตจากเด็ก หรือกำลังตั้งท้องก็เป็นได้
ฝันถึงแมวลายแถบจะมีโชคเกี่ยวกับบ้านและโชคจากคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน
ฝันถึงแมวสีเทาจะสมหวังตามที่ใฝ่ฝันไว้
ฝันถึงแมวสามสีหรือหลากสีผสมกันจะได้เจอเพื่อนทั้งเพื่อนใหม่และเพื่อนเก่า
ฝันถึงแมวต่อสู้กันจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือจะทะเลาะวิวาทกับคนรอบข้างฝันถึงแมวขาวจะมีโชคในเรื่องการคิดเชิงสร้างสรรค์ การทำนายทายทัก และเวทมนตร์คาถา     ในด้านความรักและมิตรภาพ
– คนโสดที่กำลังมองหาคู่ชีวิต ให้นำขนแมว 3 เส้นวางไว้ใต้หมอนจะฝันเห็นรักแท้
– เมื่อถูกขอแต่งงานแต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ นำขนแมว 3 เส้นห่อในกระดาษและวางใต้ธรณีประตูบ้าน 1 คืน ตอนเช้าแกะห่อกระดาษออก และดูรูปทรงของขนที่รวมตัว Y หมายถึงตกลง ถ้า N หมายถึงไม่ตกลง
– นักดื่มชาเห็นรูปทรงแมวก้นถ้วยบ่งบอกถึงเพื่อนบางคนไม่จริงใจในด้านการทำร้ายแมว
– การเตะแมวทำให้เป็นโรคไขข้ออักเสบ
– หากถ่วงน้ำแมว ดวงวิญญาณมันจะกลับมาแก้แค้นโดยการถ่วงน้ำคุณ    เกร็ดความเชื่อเรื่องแมวดำ        ลางร้าย  ภัย  อาถรรพณ์  ในคติความเชื่อโบราณ  เปรียบดังเงาร้าย  ที่เชื่อว่าหากเข้าใกล้ชีวิตเรา  จะหาความสุขไม่ได้  มีทุกข์ภัยที่ประดังเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน  ในบรรดาลางร้ายที่แสดงออกมาในรูปแบบต่าง ๆ  นั้น  “แมวดำ”  จัดเป็นหนึ่งในตัวแทนแห่งลางร้าย         ความเชื่อเรื่องแมวดำ  ไม่ได้มีระบุที่มาแน่ชัด  หากเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน  ที่นักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตเอาไว้  เนื่องจากคติความเชื่อเรื่องแมวดำไม่ได้มีเฉพาะในไทยเท่านั้น  หากมีในหลากชาติหลายภาษาโดยในตำนานเก่าแก่ของอินเดียโบราณ  เชื่อว่า  แมวดำเป็นสัตว์ผี  เป็นพาหนะของพระษัษฐี เทวีแห่งความตายของทารก  หรือ  ผีแม่ซื้อประจำตัวเด็กในวันที่  6  ซึ่งพระษัษฐีเป็นเทวีที่มีอิทธิฤทธิ์  หากใครเห็นแมวดำที่ไหน  มักต้องเห็นพระษัษฐีปรากฏกายที่นั่น  และจะมีเด็กหรือคนตายที่นั่นด้วยเช่นกัน  โดยเฉพาะในงานศพจะระมัดระวังไม่ให้แมวมาถูกต้องศพ  ด้วยเชื่อว่าจะเกิดมนทินกับศพนั้น  ๆ  ไปตลอด และในคติความเชื่อของจีนโบราณ  ถือว่าหากแมวข้ามศพ  ผีนั้นจะดุร้ายมาก  ต้องเอาตะไกรหรือเหล็กวางไว้บนอกศพ  จึงจะไม่เป็นไร  เช่นเดียวกับในความเชื่อของแขกมาลายู  ที่ต้องเอาตะไกรหนีบมาวางบนอกศพ  เผื่อว่าแมวกล้ำกรายเข้ามาใกล้ศพหรือถูกศพ เหล็กตะไกรจะเป็นเครื่องบังคับไม่ให้ศพลุกขึ้นมา  กลายเป็นผีร้าย  เป็นที่หวาดเกรงของชาวบ้านได้         แมว  จัดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีมากกว่าความเป็นสัตว์เลี้ยงธรรมดา  ในแง่ที่ว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเชื่อของคน  เป็นตัวแทนความศักดิ์สิทธิ์ และเหนือจริง  จนมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า  “หากฆ่าแมวสักตัวถือว่าบาปหนักหนา  เท่ากับฆ่าเณรรูปหนึ่งเลยทีเดียว”
คนอังกฤษเชื่อว่าแมวดำโชคดี ยิ่งถ้ามันเดินข้ามทางเดินจะโชคดี เพราะมันได้นำพาความโชคร้ายเดินผ่านพ้นไป บางคนเชื่อว่าต้องต้อนรับอย่างสุภาพกับมันด้วยการลูบคลำแมว 3 ครั้งเพื่อนำโชคมาให้

คนอเมริกาและไอร์แลนด์นับว่าแมวดำเป็นสัตว์โชคร้าย เข้าใจกันว่ามันนำพาความชั่วร้ายให้เข้าใกล้ตัวคุณ

ในอดีตมีความเชื่อกันว่า เจ้าสาวจะมีชีวิตคู่เปี่ยมสุขถ้าแมวดำจามใกล้ๆ ในวันแต่งงาน

ย้อนหลังไปในสมัยโบราณนักบวชดรูอิด (Druids) เชื่อว่าแมวดำเป็นมนุษย์ที่ถูกลงโทษสำหรับการกระทำชั่วร้าย มันนำพาปิศาจและมีพลังอำนาจวิเศษ

หลากหลายความเชื่อเกี่ยวกับแมว

          แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่หลายบ้านมีไว้เลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อนคลายเหงา แต่ในทางความเชื่อโบราณแล้วแมวมีมากกว่าแค่คลายเหงาแต่จะเป็นอะไรบ้างนั้นมาดูพร้อมๆกันเลย 

รก เป็นเครื่องสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตในครรภ์แนบอยู่กับมดลูก มีสายต่อกับสะดือลูกอ่อน เฉพาะรกของแมวชาวล้านนาเชื่อว่าเป็นเครื่องรางนำโชค จึงนิยมเก็บรกไว้เพื่อประโยชน์ในทางค้าขาย ดังนั้นในขณะที่แมวจะออกลูก เจ้าของมักคอยจดจ้องที่จะเอารกแมวให้ได้

ทั้งนี้โบราณท่านว่า ถ้าจะให้ได้ผลต้องมีพิธีกรรมตามขั้นตอนก่อน กล่าวคือ อันดับแรก เมื่อแมวมีอาการเหมือนจะออกลูกให้เจ้าของจัดเตรียมสถานที่ โดยจัดหาผ้าที่อ่อนนุ่มไว้ในบริเวณที่มิดชิด และแม่แมวคิดว่าปลอดภัย เมื่อเห็นแมวพอใจซึ่งสังเกตง่าย ๆ คือ แม่แมวจะทดลองนอนและจัดที่เกิดให้เข้าที่ ณ เวลานั้นให้เจ้าของนำปลาปิ้ง ซึ่งนิยมใช้ปลาตะเพียนใส่ภาชนะ บอกกล่าวแม่แมวเพื่อเอ่ยขอว่า

 

 

“…เอ่อหนี้เน้อ นางวิฬา กูมีสะเพียนปล๋า มาแลกเอาฮก ป๊กเจ้าแม่ป๊ก ฮกนางวิฬา…”

จากนั้น เฝ้าจับตาทุกขณะ เพราะแมวมักกินรกเสมอเมื่อลูกออกมา และเมื่อรกออกให้กล่าวทักทายรกว่า

“…ฮกเหยฮก บ่ป๊กแต่น้ำ ป๊กเงินป๊กฅำ ป๊กกอบก๋ำเข้า โภคา ธะนัง หลั่งไหลหาเจ้า วิฬาป๊กเอา ก่อก๊ำ…”

เมื่อได้รกแล้วนำไปตากแดดให้แห้งสนิท พอถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ ให้นำมาเสกเป่าด้วยคาถาว่า

“พุทธ สัง มิ สัง สิ โม นา ธัมมะ สัง มิ โม นา สัง สิ สังฆะ สัง มิ สิ โม นา สัง พหุชะนานัง เอหิ จิตตัง เอหิ มะนุสสานัง เอหิ ลาภัง เอหิ สัพพะโภคัง ภะวันตุ เมฯ

เสกให้ครบ ๑๐๘ คาบ แล้วปิดทองให้ทั่ว เก็บไว้กับบ้านเรือนร้านค้า เชื่อว่าจะให้คุณทางเมตตามหานิยม ซื้อง่ายขายได้กำไร ประสบแต่โชคลาภอยู่เนือง ๆ

น้ำมนต์แมว
การบริโภคอาหารที่ปรุงจากปลา บางครั้งประสบปัญหาก้างติดคอ ทำให้ได้รับความทุกขเวทนา โบราณให้นำน้ำใส่ภาชนะไปวางเฉพาะหน้าแมว หากแมวกินน้ำหรือแม้กระทั่งดม ก็ถือได้ว่าน้ำนั้นเป็น “น้ำมนต์แมว” ให้นำไปให้คนที่ก้างติดคอดื่มกิน เชื่อกันว่าก้างจะหลุดไปกับน้ำนั้น เพราะโดยธรรมชาติของแมว มีความสามารถกินปลาเป็นพิเศษ ก้างจึงไม่ติดคอแมว

ก้างติดแมวเกา
มีอีกวิธีหนึ่ง กรณีที่ก้างติดคอ ท่านให้เอาเท้าหน้าของแมวลากผ่านลูกระเดือกเสมือนเอามือแมวมาเกา ก้างนั้นจะหลุดทันที

แมวซ่วยหน้า
อากัปกริยาของแมวอย่างหนึ่ง คือเอาเท้าหน้าข้างใดข้างหนึ่งปัดหน้า เหมือนมัน “ซ่วยหน้า” คือล้างหน้าตัวเอง ทายว่าไม่นานจะมีคนที่อยู่แดนไกลมาเยี่ยมเยือนเจ้าของบ้าน

แมววิ่งตัดหน้า
ขณะเดินทางไปไหนมาไหน หากมีแมวสีขาวหรือสีดำวิ่งตัดหน้ากะทันหัน ก็มีคำทำนายว่าจะดีหรือร้าย กล่าวคือ แมวขาววิ่งตัดหน้าจะได้รับข่าวดี แต่ถ้าแมวดำวิ่งตัดหน้าจะได้รับข่าวร้าย

แมวข้ามหล้อง
ในขณะที่ตั้งศพอยู่ที่บ้านหรือที่วัด ถ้ามีแมวสีดำกระโดดข้าม “หล้อง” คือโลงศพนั้น เชื่อว่าวิญญาณของคนที่ตายจะดุร้าย เที่ยวหลอกหลอนและทำร้ายผู้คนมากมาย

ฝันเห็นแมว
โบราณล้านนาเชื่อว่า ถ้าใครฝันเห็นแมวนั้นเป็นเรื่องไม่ค่อยดี จะขัดสนเงินทองทรัพย์สิน ญาติมิตรไม่ยินดีจะคบหาสมาคม มิหนำซ้ำยังพากันรังเกียจโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ

แห่นางแมว
ปีใดฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล โบราณจะมีพิธีแห่นางแมวเพื่อขอฝน โดยนำแมวตัวเมียมาแต่งหน้าทาปากนุ่งห่มเหมือนคนแล้วตั้งขบวนแห่แหนไปตามหมู่ บ้าน ผู้ชายที่ร่วมขบวนจะแต่งกายเป็นหญิงถือรูปอวัยวะเพศร่วมขบวน ส่วนคนที่พบเห็นจะสาดน้ำใส่กลุ่มผู้เข้าร่วมขบวน และรุมสาดน้ำใส่แมวอย่างคึกคะนอง ด้วยว่าการกระทำเช่นนี้ จะทำให้ฝนตก

ห้ามเลี้ยงแมวห้าตัว
ในตำราโบราณล้านนา กล่าวถึงสิ่งไม่ควรมีไว้กับบ้านเรือน ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวระบุจำนวนไว้ ดังนี้

เอ โก มหิงสโก ควายตัวเดียว ติ โคโณ วัวสามตัว เทฺว ภริยา เมียสองคน ฉะ สุนขา หมาหกตัว จุต ทาสา คนใช้สี่คน ปัญฺจ มัชชารี แมวห้าตัว สัตตะ อาชา ม้าเจ็ดตัว อัฏฐ กุญชรา ช้างแปดเชือก เทฺว อาวุธา ดาบสองเล่ม เทฺว จ เกสี หญิงมีช้องเสียบผมสองอัน

ดังนั้นชาวล้านนา จึงไม่นิยมเลี้ยงแมวห้าตัว เพราะเกรงจะเกิดอุบัติภัยกับคนในครอบครัวตามความเชื่อ

Previous Older Entries